10 เรื่อง หลอกลวง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
ใน แต่ละปีหลายคนทั่วโลกมักถูกหลอกลวง มีหลายเรื่องที่เผยแพร่ไปในอินเตอร์เน็ตหรือหนังสือพิมพ์ที่ทำให้เราหลง เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงและต่อไปนี้ก็คือ 10 อันดับเรื่องหลอกลวงในประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด แม้ว่าจะมีการยืนยันว่าเป็นเรื่องหลอกลวงแล้วก็ตามแต่บางคนก็ยังเชื่อว่า เป็นเรื่องจริงอยู่ดี (ถึงเขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก)
10. The Cardiff Giant 1869
ยักษ์ แห่งคาร์ดิฟฟ์เป็นหนึ่งในเรื่องหลอกลวงที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ อเมริกัน โดยเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1869 ที่คาร์ดิฟฟ์ นิวยอร์ก คนงาน 2 คน กำลังขุดดินที่ฟาร์มของนายวิลเลียม นิวเวลได้พบร่างยักษ์ที่กลายเป็นหิน ข่าวยักษ์แห่งคาร์ดิฟฟ์จึงแพร่กระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ซึ่งความจริงแล้ว ยักษ์แห่งคาร์ดิฟฟ์เป็นของปลอมที่สร้างขึ้นโดยจอร์จ ฮัลเป็นนักค้ายาสูบชาวนิวยอร์ก (ญาติของวิลเลียม นิวเวล) ที่มาจากการที่เขาทะเลาะกับบาทหลวงชื่อเติร์ก ถึงบทหนึ่งในไบเบิลที่ระบุว่า ยักษ์เคยอาศัยอยู่บนโลก เขาเลยตัดสินใจที่จะ สร้างยักษ์โดยจ้างคนไปแกะสลักหินยิปซั่มให้เป็นยักษ์โดยเขาบอกคนแกะสลักว่า จะทำเป็นอนุสาวรีย์ของอับราฮัมลินคอล์นในนิวยอร์กจากนั้นเขาก็เอาคราบและกรด ต่างๆ มาราดลงในรูปปั้นให้เหมือนของเก่า แถมด้วยการปักฝังเข็มลงไปให้ดูเหมือนรูขุมขน ก่อนที่จะเตรียมบทจ้างคนงานสองคนทำเป็นขุดพบเจอยักษ์แล้วประกาศว่า “พบยักษ์แห่งคาร์ดิฟฟ์ที่นี่” และมันก็ได้ผล มีผู้สนใจดูยักษ์จำนวนมากมาย จนเงินเข้ากระเป๋านิวเวล และฮัลมากมาย ขนาดพิที. บาร์นัม ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโชว์แสดงของแปลกยอมจ่ายเงินเพื่อชมสิ่งหลอกลวง และขอเช่ายักษ์ถึงหกหมื่นดอลลาร์ แต่ก็ได้รับปฏิเสธกลับมา บาร์นัม จึงสร้างของเลียนแบบยักษ์คาร์ดิฟฟ์ฮันนัมจึงฟ้องร้องบาร์นัมต่อศาล และวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1870 เรื่องของยักษ์คาร์ดิฟฟ์ก็มาความมาแตกในการพิจารณาคดีนี่เอง…เอวัง9. The Protocols of the Elders of Zion 1890
“บันทึก ข้อสนธิสัญญาของปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน” เป็นนิยายที่เขียนขึ้นมาโดยมีเจตนาในการตำหนิความเลวร้ายของยิว ในความพยายามครอบครองโลกโดยใช้อำนาจการเมืองและเศรษฐกิจ ใช้เล่ห์กลเข้าครอบงำสื่อ และให้ทุนเพื่อป่วนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนา และเรียกบรรดาผู้นำทางปัญญา เจ้าของความคิดชั่วร้ายว่า “ปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน”และนี้เป็นเป็นตัวอย่างที่รู้จักกันดีว่าเป็นเรื่อง หลอกลวง ที่เริ่มต้นจากหนังสือพิมพ์รัสเซียเอ็มไพร์ ตีความครั้งแรกในปี 1903 ข้อความได้ถูกแปลหลายภาษาและเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางตอนต้นศตวรรษที่ยี่สิบ และมันก็แพร่หลายไปในประเทศอเมริกาในปี 1921นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือของฮิตเลอร์ในการทำให้เกิดความเกลียดชังของ ชาวยิวในเยอรมนี และใช้ในการปฏิวัติรัสเซียเพื่อก่อกรรมทำเข็น และความรุนแรงต่อชาวยิว(โดยอ้างว่าสมาคมลับชาวยิวอยู่เบื้องหลัง) ก่อนจะถูกพบว่าเป็นเรื่องหลอกลวงที่เกิดขึ้นจากงานเสียดสีทางการเมือง แต่กระนั้นเรื่องราวเหล่านี้ได้กลายทฤษฏีสมคบคิดและแรงบันดาลใจกับสื่อต่างๆ เป็นที่เรียบร้อย8. Loch Ness – the Surgeon's Photo 1934
เนส ซี หรือ สัตว์ประหลาดล็อกเนสส์ คือ สิ่งมีชีวิตลึกลับชนิดหนึ่งที่เชื่อว่าอาศัยอยู่ในทะเลสาบล็อกเนสส์ แคว้นสกอตแลนด์ ที่มีพยานหลายคนเห็น และมีภาพถ่ายจำนวนมากมาย (เกือบทั้งหมดเป็นของปลอม) จนถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาไม่มีใครรู้แน่ว่าเจ้าสัตว์ที่ถูกขนานนามว่า “เนสซี” นี้มีตัวตนจริงหรือไม่หนึ่งในภาพลักษณ์ของเนสซีที่มีชื่อเสียงคือ ภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงที่สุดของเนสซีเป็นภาพของศัลยแพทย์ (The Surgeon's Photo) ถ่ายโดย น.พ.เคนเนท วิลสันศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ ถ่ายไว้เมื่อเดือนเมษายน ในปี ค.ศ. 1934 โดยภาพนี้เป็นรูปสัตว์คอยาวโผล่เหนือน้ำ โดยวิลสันได้อ้างว่าตอนนั้นเขา และเพื่อนคนหนึ่งกำลังขับรถเลียบไปตามถนนริมทะเลสาบล็อคเนสส์ เป็นการเริ่มต้นวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่พวกเขาหวังว่าคงได้ถ่ายภาพสัตว์ป่าไว้ได้บ้าง และในขณะที่หยุดพักแรมใกล้กับอินเวอร์มอร์ริสัน ขณะที่วิลสันนั่งเหยียดขาอยู่ริมทะเลสาบนั่นเอง เขาได้เห็นอะไรบางอย่างพ้นน้ำ จึงคว้ากล้องถ่ายรูปมาไว้บันทึกภาพได้ชุดหนึ่งซึ่งภาพเหล่านั้นแสดงให้เห็น ถึงส่วนหัวและคอ ที่สะโอดสะองและลำตัวของมันเห็นเลือนรางอยู่ใต้ผิวน้ำ ภายนี้ถูกเผยไปให้สาธารณะชน และถึงมือบรรดาผู้เชี่ยวชาญได้ลงความเห็นว่า ยังคงเป็นภาพถ่ายที่ดีที่สุดของเนสสีเท่าที่เคยมีมา และในไม่ช้าทะเลสาบก็คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว นักวิทยาศาสตร์ นักล่า นักเรียน ชาวบ้านร้านตลาดพากันไปทำธุรกิจอาหารและที่พักอย่างเป็นล่ำเป็นสันและอึกทึก ครึกโครมต่อมาในปี 1990 ภาพก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นของหลอกลวง โดยสารคดี Discovery Communications' documentary Loch Ness จากการวิเคราะห์อย่างละเอียดก็พบว่าวัตถุที่อยู่ในภาพไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไร มากมาย (แค่ 2-3 ฟุต เท่านั้น) เห็นได้จากระลอกในน้ำ เหมือนวัตถุถูกลากจูงโดยบางสิ่งบางอย่าง มันเป็นภาพที่เรือดำน้ำของเล่นที่ดัดแปลงให้เหมือนหัวไดโนเสาร์คอยาวมากกว่า แต่กระนั้น น.พ.เคนเนท วิลสันก็อ้างว่า “บางสิ่งบางอย่างในน้ำ” ไม่ได้บอกว่าเป็นเนสซีอะไรสักหน่อย (ก่อนที่เขาเสียชีวิตก็ได้สารภาพว่า นี้เป็นของปลอมโดยแรงจูงใจเป็นการแก้แค้นที่ครั้งหนึ่งเขาเคยพบรอยเท้ามอน สเตอร์ แต่หลายคนบอกว่ามันคือรอยเท้าฮิปโป) แต่กระนั้นภาพนี้ได้ส่งผลทำให้มีคนถ่ายรูปที่อ้างว่าเป็นเนสซีมากมายในเวลา ต่อมา7. The Turk 1717
ใคร เคยอ่านการ์ตูน C.M.B. (เล่ม 7) ก็จะร้องเอ๋อ โดย “ชาวตรุกี” เป็นกลหรือหุ่นยนต์ที่เล่นหมากรุก ที่เปิดตัวในปี 1770 โดยเคนเปเลน (Wolfgang von Kempelen) วิศวกรชาวฮังการี 1734-1804 ที่ต้องการสร้างความประทับใจแก่จักรรพดินี มาเรีย เธเรเซียแห่งออสเตรียโดยเขาอ้างว่าตุ๊กตากลนี้มีความคิดเป็นของตนเอง และมันสามารถเดินหมากรุกเองได้และผลปรากฏว่ามันเล่นหมากรุกได้เก่งกว่าฝ่าย ตรงข้าม จนข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วยุโรปส่งผลทำให้ชาวตรุกีได้แข่งหมากรุกกับผู้มี ชื่อเสียงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินโปเลียนจักรพรรดินีเอกาเตนีนาที่ 2 แห่งรัสเซียไปจนถึงเบนจามิน แฟรงคลินที่อเมริกาโดย “ชาวตรุกี” ได้รับความนิยมไปแสดงเล่นหมากรุกไปทั่วโลกนานถึง 84 ปีโดยมีการปกปิดกลไกอย่างเข้มงวด จนทำให้มีบรรดาเศรษฐีต่างยอมทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อ “ชาวตรุกี” นี้ เพื่อไขความลับ แต่ที่น่าพิศวงคือคนที่ซื้อ “ชาวตรุกี” ซึ่งมีหลายคนที่เป็นเจ้าของต่างไม่ยอมเปิดเผยความลับกลไกนี้จนกระทั้งในปี 1820 ก็เกิดเพลิงไหม้ที่พิพิธภัณฑ์ในอเมริกา ซึ่งต้นแบบ “ชาวตรุกี” ก็ถูกทำลายไปด้วย อีกทั้งความลับก็ถูกเปิดเผยซึ่งความจริงแล้ว “ชาวตรุกี” ไม่ใช่ตุ๊กตากลที่คิดเองได้ แต่เป็นเพียงตุ๊กตาที่มีคน (ที่เก่งมหากรุก) เข้าไปควบคุมข้างใน (คนเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะ) จนกลายเป็นมายากลแทนที่จะเป็นกลไกส่วนสาเหตุที่พวกเศรษฐีที่ซื้อไปไม่ยอม เปิดเผยความลับกลไกนี้ก็เพื่อจะได้หลอกขายต่อในราคาแพงๆ อีกต่อหนึ่งนั่นเอง6. The Priory of Sion 1956
ไพร เออรี ออฟไซออน หรือ สำนักศาสนาแห่งไซออน กล่าวกันว่าเป็น ชื่อขององค์กรลับที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยุโรปตะวันตก ที่ก่อตั้งและถูกยุบในฝรั่งเศสในปีพ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1956) โดยปิแอร์ ปลองตาร์ด (Pierre Plantard) ในทศวรรษที่ 1960 ปลองตาร์ดได้แต่งประวัติศาสตร์ขององค์กรขึ้นมา โดยกล่าวว่ามันเป็นสมาคมลับที่ก่อตั้งขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มเมื่อปีพ.ศ. 2142 (ค.ศ. 1099) ซึ่งได้ปกป้องสายเลือดของ ราชวงศ์เมโรแว็งเชียง เรื่องโกหกนี้ถูกขยายขึ้นและโด่งดังในหนังสือชื่อ The Holy Blood and the Holy Grail ในปีพ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) และต่อมาในนวนิยายสืบสวนชื่อรหัสลับดาวินชี หลังจากเป็นคดีดังตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1960-1980 ไพรเออรี ออฟไซออนถูกเปิดเผยว่าเป็นสิ่งที่ ปลองตาร์ดสร้างขึ้นเพื่ออ้างสิทธิในราชบัลลังก์ของฝรั่งเศสหลักฐานที่สนับ สนุนการมีอยู่ในประวัติศาสตร์และกิจกรรมของกลุ่มก่อนปีพ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) ถูกค้นพบว่าถูกหลอมและนำไปไว้ในที่ต่างๆ ทั่วฝรั่งเศส โดยปลองตาร์ดและผู้สมรู้ร่วมคิด ถึงกระนั้นผู้คนมากมายที่เชื่อว่าไพรออรี ออฟ ไซออนเป็น สมาคมลับในยุคเก่าซึ่งได้ปกปิดความลับที่จะล้มล้างเอาไว้ตำนานของไพรเออรี ออฟไซออนถูกหักล้างอย่างมาก โดยนักข่าวและนักปราชญ์ว่ามันเป็นเพียงเรื่องโกหกในศตวรรษที่ 20 ผู้สงสัยบางคนแสดงความรู้สึกว่าหนังสือมากมายที่โด่งดัง เว็บไซต์ และภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งนี้ได้ทำให้ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด ประวัติศาสตร์เทียม และการสับสนอื่นๆ กลายมาเป็นกระแสหลัก ทำให้พวกอื่นๆได้รับปัญหาจากแนวคิดฝั่งขวาที่ทำให้พวกเขามีส่วนร่วมในผลงาน เหล่านั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ5. Feejee Mermaid 1842
ซาก เงือกฟิจิ เป็นหนึ่งในเรื่องที่คนไทยเรายังเชื่ออยู่ โดยเป็นคำเรียกซากของสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งปลาที่นิยมออกมาโชว์ให้ประชาชน ของโลกตะวันตกได้ดูนามหลายศตวรรษโดยซากเงือกฟิจิมักเป็นตัวชูโรงของ ห้องสารภัณฑ์ (สิ่งที่อาจจะเกี่ยวกับธรรมชาติวิทยา(ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นของปลอมก็ได้ ส่วนมากเป็นของสะสมส่วนตัว) ของ พินีอัส เทย์เลอร์ บาร์นัม (ย่อว่าพีที (5 กรกฎาคม 1810 -- 7 เมษายน 1891) โดยตอนแรกที่ซากเงือกฟิจิไม่ได้รับการเปิดเผยว่า เป็นของปลอมที่ทำมาจากหางปลาที่สตั๊ฟไว้มาต่อเข้ากับท่อนบนของมัมมี่ลิงตัว เมียนั้น พิทีได้ซื้อพิพิธภัณฑ์ที่นิวยอร์กแต่พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวคนเข้าน้อย เขาเลยคิดเอาของแปลกๆ ที่ไม่ใครคิดมาตั้งโชว์และเขาก็นึกถึงเรื่องเงือกปลอมมาได้ เขาเลยเอาเงือกปลอมดังกล่าวมาตั้งโชว์โดยบอกว่ามันเป็นของหายากจากตะวันออก ไกล ผลคือมีหลายคนเชื่อ ถึงขั้นมีนักข่าวสำนักพิมพ์รุมสัมภาษณ์ นอกจากนี้ฟิทียังสร้างเรื่องให้น่าเชื่อถือโดยการจ้างนักชีววิทยาตัวปลอมใน ชื่อดร.กริฟฟิน แห่งพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาไลเซียมเป็นคนจับเงือกนี้ได้ในปี 1842 พิทีสามารถหลอกคนดูได้อย่างแยบยลและร่ำรวย จนเขาตั้งสมญานามให้ตัวเองว่า 'เจ้าแห่งการหลอก' (Prince of Humbug) และชื่อของเขาก็โด่งดังว่าเป็นคนที่สร้างความสุขให้แก่คนดูด้วยการหลอก ซึ่งกว่ามีคนรู้ว่าเป็นของปลอมหลายศตวรรษเลยทีเดียว ส่วนซากเงือกฟิจินั้นถูกนำไปแสดงทั่วประเทศจนกระทั้งมันหายสาบสูญไปในปี 186 และปัจจุบันเงือกฟิจิยังคงมีการหลอกลวงขายในเว็บอีเบย์และเอามาล้อเลียนใน สื่อต่างๆ มากมาย4. Piltdown Man 1912
“พิลต์ ดาวน์แมน” เป็นเล่ห์เลี่ยมที่มีชื่อเสียงทางโบราณคดี ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1912 เมื่อชาร์ลส์ ดอว์สัน ชาวอังกฤษได้ค้นพบชิ้นส่วนของกะโหลกศีรษะและขากรรไกรจากหลุมกรวดที่หมู่บ้าน พิลต์ดาวน์ แคว้นอีสต์ซัสเส็กซ์โดยชิ้นส่วนเหล่านี้วิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก แล้ว พบว่าเป็นฟอสซิลที่ไม่รู้จักมาก่อน และน่าจะเป็นฟอสซิลของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ พร้อมกับตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ให้กับมนุษย์สายพันธุ์ใหม่เป็นภาษาลาตินว่า Eoanthropus dawsoni (รุ่นอรุณมนุษย์ของดอว์สัน) และเรื่องของพิลต์ดาวน์แมนก็กลายเป็นเรื่องชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ด้วย เหตุผลคือการมันเกี่ยวข้องกับการไขวิวัฒนาการมนุษย์ และมันสามารถโกหกได้ยาวนาน 40 ปีขึ้น มีผู้สร้างอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกบริเวณที่พบฟอสซิลลวงโลกเมื่อค.ศ. 1938 กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าดอว์สันสร้างเรื่องขึ้นมาเอง ก็ปาเข้าไป ค.ศ. 1953 โดยพบว่า ดอว์สันทำการมิกซ์แอนด์แมตช์ด้วยการเอากะโหลกมนุษย์ ประกอบกับขากรรไกรล่างของลิงอุรังอุตังและฟันชิมแปนซีมาติดเข้าด้วยกัน ส่วนสาเหตุที่จับได้ก็เพราะฟอสซิลของพิลต์ดาวน์แมนไม่สอดคล้องกับเส้นทางการ วิวัฒนาการของฟอสซิลที่พบจากที่อื่นๆ3. Alien Autopsy 1995
เรื่อง ราว เริ่มขึ้นในปี 1992 เมื่อ ผู้สร้างภาพยนตร์เรย์ ซานติลีได้ จัดนำ “ฟิล์มภาพยนตร์การผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว” มาเปิดเผยให้สาธารณะชนได้รับทราบโดยเขาอ้างว่าได้ซื้อฟิล์มภาพยนตร์ขาวดำ ขนาด 16 มิลลิเมตร มีความยาวกว่า 17 นาที(ไม่เปิดเผยถึงราคาที่ซื้อมา) จากช่างภาพของกองทัพ (ไม่เปิดเผยชื่อ) ซึ่งเนื้อหาภาพยนตร์เป็นภาพผ่าตัดซากมนุษย์ต่างดาว โดยซานติลีได้อ้างว่ามนุษย์ต่างดาวนี้คือตนเดียวกับที่มากับจานบินใน เหตุการณ์การจานบินตกที่รอสเวลส์เมื่อปี 1947โดยช่างภาพที่ขายให้กับเรย์ได้ถูกทางกองทัพเรียกตัวให้มาที่ฐานทัพใน เท็กซัสเพื่อทำการถ่ายก่อนที่ช่างภาพจะลักลอบนำฟิล์มไปขายให้กับเรย์ในที่ สุดภาพยนตร์ชุดนี้ได้ถูกนำมาออกแสดง นี้ออกอากาศ ในปี 1995 ในรายการ One-hour Special ผลปรากฏว่ามีคนสนใจดูมากจนต้องมีการนำมาออกอากาศซ้ำอีกถึงสี่ครั้งหลังจาก นั้นทำให้มีการถ่ายถอดออกไปในอังกฤษ, เยอรมัน, ฮอลล์แลนด์, บราซิลและอิตาลี (และอีก 32 ประเทศทั่วโลก) แน่ละความสงสัยได้ก่อตัวขึ้นมาในทันทีว่าเทปดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่ เพราะว่าภาพยนตร์ดังกล่าวมีสภาพสมบูรณ์เกินไป และศพมนุษย์ต่างดาวเป็นของจริงหรือเปล่าเพราะไม่เห็นอวัยวะภายในของมนุษย์ ต่างดาวเลย มันน่าจะเป็นหุ่นมากกว่าอีกทั้งมีอะไรหลายอย่างที่ไม่สมจริง เช่นห้องที่ใช้ทำการผ่าตัด หมอที่ผ่าตัด อีกทั้งนาฬิกา โทรศัพท์และเครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัดเหมือนเป็นเทคโนโลยีที่มีขึ้นหลังปี 1940 ในปี 2006 เรย์ก็ออกมารับสารภาพว่าฟิล์มภาพยนตร์นี้เป็นของปลอมแต่กระนั้นเขาก็บอกว่า ภาพยนตร์ของเขานั้นมีความจริงบางส่วนเท่านั้น (“ไม่กี่เฟรม” ในคำพูดของเขา) ในขณะส่วนที่เหลือได้รับการบูรณะตัดต่อใหม่ โดยเขาบอกว่าห้องผ่าตัดดังกล่าว สร้างจากห้องนั่งเล่นในโรเชสเตอร์สแควร์ในลอนดอน เครื่องในก็ใช้เครื่องในไก่แม้ว่าเรย์จะยอมรับว่าภาพยนตร์นี้เป็นของปลอม แล้วก็ตามแต่กระนั้นภาพยนตร์ผ่าตัดมนุษย์ต่างดาวก็กลายเป็นหนึ่งในองค์ประ กอบหลักทฤษฏีสมคบคิด นวนิยาย และสื่อต่างๆอีกมากมาย2. The Cottingley Fairies 1917
แฟรี่ แห่งคอททิงเลย์ เป็นชุดภาพถ่ายที่เป็นรูปเด็กผู้หญิงเล่นกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่านางไม้มี ทั้งหมดห้าใบ ที่ถ่ายในเดือนกรกฎาคมปี 1917 โดยเอลซี่ ไรท์ (16 ปี) และฟรานซิส กรีฟิส (11 ปี) ซึ่งเป็นญาติของเธอ ทั้งสองสาวอาศัยอยู่ในหุบเขาคอททิงเลย์ใกล้ แบรดฟอร์ด ประเทศอังกฤษ วันนั้นพวกเธอได้เอากล้องที่ยืมจากพ่อ และถ่ายรูปนางไม้โนมมาได้ ซึ่งครอบครัวของพวกเธอเชื่อว่าภาพเหล่านี้เป็นของจริงในฤดูร้อนปี 1919 รูปถ่ายนี้ก็ถูกแพร่หลายและเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์(ผู้เขียนเซอร์ล็อคโฮล์ม) ได้ทำการตรวจสอบภาพดังกล่าว เขาได้เขียนบทความลงในนิตยสารชั้นนำไว้ว่าภาพของพวกเธอนั้นเป็นของจริง “จากหลักฐานที่ได้ ผมมีความลังเลที่จะบอกได้ว่าภาพเหล่านี้เป็นขอปลอม” และ 'เด็กๆ ของคนชั้นกรรมกรจะมีความรู้เรื่องการตัดต่อภาพได้ยังไง' ซึ่งท่านเซอร์เชื่อว่ารูปถ่ายนี้เป็นของจริงจนวาระสุดท้ายของชีวิตเลยที เดียวเดือนธันวาคมปี 1920 ดอยล์ได้ทำการประกาศรูปเหล่านี้ลงนิตยสารพร้อมกับยืนยันว่าแฟรี่ในรูปเป็น ของจริง ซึ่งเรื่องนี้ได้รับเสียงตอบรับมากมาย ทำให้นักข่าวและผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลไปยังคอททิงเลย์ดอยล์นั้นถึงกับออก หนังสือเกี่ยวกับแฟรี่แห่งคอททิงเลย์และกล่าวว่าเขาเชื่อเด็กหญิงทั้งสองคน ว่าพวกเธอพูดจริง จนกระทั้งในวันที่ 24 พฤษภาคม 1965 เอลซี่ก็ได้ให้สัมภาษณ์แก่นิตยสารเดลี่เอกซ์เพรสว่ารูปของแฟรี่เหล่านั้น เป็นภาพที่เธอกับฟรานซิสทำปลอมขึ้นมาโดยไม่ได้ใช้เทคนิคการตัดต่อภาพใดๆทั้ง สิ้น พวกเขาแค่วาดรูปของแฟรี่ลงบนกระดาษแข็ง ระบายสีตัดออกมาติดไว้กับต้นไม้หรือพื้นเพื่อถ่ายรูปง่ายๆ แค่นั้น ที่พวกเขาทำแบบนี้ก็เพราะต้องการล้อเล่น แต่ท่านเซอร์โคนันกลับทำให้เรื่องใหญ่โตทำให้พวกเธอไม่รู้จะบอกความจริงยัง ไงดี แม้ว่าเด็กสองคนจะบอกว่าภาพเป็นของปลอมแล้วก็ตาม แต่กระนั้นทั้งสองก็บอกว่าพวกเธอเห็นแฟรี่จริงๆแต่ไม่สามารถถ่ายรูปของพวก เขาเอาไว้ได้1. The Book of Mormon 1830
นาย โจเชพ สมิธ (1830-1844) ผู้ก่อตั้งลัทธิมอร์มอธ เขาได้อ้างว่า ในวันที่ 21 กันยายน 1823 สมิธอ้างว่าทูตสวรรค์มาพบเขาที่เนินเขาใกล้บ้านของเขาและเขาได้พบแผ่นโลหะ ทองคำเนื้อหาจารึกประวัติกลุ่มชาวยิว ที่เดินทางมาจากกรุงเยรูซาเล็ม มายังประเทศอเมริกานอกจากนั้นเขายังพบสองวัตถุหนึ่งที่เป็นรูปร่างเหมือน แว่นตาที่เรียกว่า อูริมและทูมมิม ซึ่งอ้างว่าเขาใช้มันในการแปลภาษาอียิปต์ปรับปรุงใหม่ ให้เป็นภาษาอังกฤษ จากปี 1827-1829 และพิมพ์ออกมาในปี 1830 ซึ่งคือ พระคัมภีร์มอร์มอน (The Book of Mormon) และเขาได้เรียกมอร์มอนของตัวเอง ว่า คริสตจักรของพระเยซูคริสต์เนื้อหาของหนังสือนั้นค่อนข้างผิดหลักศาสนาคริสต์ เป็นอย่างมาก แต่กระนั้นมันก็ได้รับความนิยมไปทั่ว และลัทธินอร์มอธก็โด่งดังในอเมริกา แต่กระนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาได้กล่าวว่าหนังสือทั้งเล่มนั้นเขียนโดยคน เดียวกัน นอกจากนั้นหนังสือยังอ้างสัตว์และพืชที่ไม่มีอยู่ในอเมริกาหลายชนิดสมิธอ้าง ว่าหนังสือคัดจากคำจารึกที่ถูกฝังไว้ในปี ค.ศ. 428 แต่จากการศึกษา พบว่า ประมาณ 25,000 คำ ในคัมภีร์มอร์มอน คัดมาจากพระคัมภีร์ฉบับ King James Version ซึ่งเขียนในช่วง ค.ศ. 1611 ทำให้เชื่อว่าเรื่องของโจเซฟ สมิธนั้นเป็นเรื่องโกหกที่มา: http://www.toptenthailand.com/topten/detail/20140331121956895
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น