วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

อ้อ

เพื่อนๆตอนเด็กๆเคยถูกใครล้อป่ะ ว่าเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ คุ้นๆป่ะกะคำว่า เกิดจากไม้ไผ่!!
เรามะใช่ชาติเดียวในโลกนะ ที่มีคำพูดหยอกล้อลักษณะนี้อ่ะ แต่กลับมีอยู่ทั่วโลก ย้ำ! ทั่วโลกจริงๆนะ แล้วถ้าคำว่า กระบอกไม้ไผ่ ไม่ใช่ลำต้นไม่ไผ่อย่างที่คนยุคก่อนเคยเข้าใจแล้วเล่าขานสืบต่อกันมาอ่ะ แต่เป็นเครื่องมือเทคโนโลยีอะไรสักอย่างที่สิ่งมีชีวิตที่ออกมาจากเครื่อง มือนั้นได้เล่าบอกต่อๆกันมาจากรุ่นสู่รุ่นอย่างยาวนานนนนนนน จนบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง
เพื่อนๆเคยเล่นเกมส์ส่งสารกันป่ะ ที่หัวแถวจะกระซิบต่อๆกันมาหลายๆคนจนมาสุดที่ปลายแถวเเล้วเราก็ไปเอาคำตอบ จากปลายแถวซึ่งจะได้คำตอบที่บิดเบือนอ่ะ ลองเล่นกันดูฮะ
 

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

สัตว์ประหลาดแฟลทวูดส์ ufo ??






สัตว์ ประหลาดแฟลทวูดส์ หรือ สัตว์ประหลาดบร็อกตัน เคาน์ตี้ หรือ ปีศาจแฟลทวูดส์ (Flatwoods Monster, Braxton County Monster, Phantom of Flatwoods) เป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีรายงานการพบที่เมืองแฟลทวูดส์ ในบร็อกตัน เคาน์ตี้ รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ในคืนวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1952

รูปร่าง

สัตว์ประหลาดแฟลทวูดส์ ถูกพบเห็นโดยพยานมากมายถึงกว่า 10 คน มันมีความสูงถึง 10 ฟุต หรือประมาณ 3 เมตร มีใบหน้าสีแดง มีลักษณะคล้ายรูปหัวใจหรือคล้ายใบโพ หรืออาจมีตาอยู่บนลายรูปหัวใจ และมีหัวขนาดใหญ่ มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ผสมหุ่นยนต์เหมือนทำมาจากเหล็กกล้า มีสิ่งที่คล้ายผ้าคลุมหรือกระโปรงสีดำคลุมช่วงล่างลำตัว ซึ่งต่อมาได้สรุปว่าเป็นสีเขียว ลำตัวสีเขียว บ้างก็ว่ามีไม่แขน หรือ มีแต่ขนาดเล็ก และสรุปว่ามีกรงเล็บยาวคล้ายนิ้ว ซึ่งยื่นออกมาข้างหน้า

การพบเห็น

ก่อนการพบสัตว์ประหลาดแฟลทวูดส์นั้น มีรายการพบจานบินหลายที่ในสหรัฐอเมริกา ในคืนวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1952 ที่แฟลทวูดส์มีรายการวัตถุบินลึกลับเกิดการลุกไหม้ที่ช่วงท้าย และตกลง ณ ที่นั่น ซึ่งหนึ่งในพยานผู้พบเห็นเป็นนักธุรกิจท้องถิ่น กล่าวว่าเขาเห็นจานบินลอยข้ามหัวเขา เขาอธิบายว่ารูปร่างของจานบินนั้นคล้ายเปลือกหอยที่มีปีกหรือครีบบนหลัง สีของตัวจานเป็นสีแดงคล้ำหรือสีส้มชมพูและด้านบนทั้งหมดของจานเป็นสีขาวคล้ายไอปรอ

จากนั้น พยานอีกสามคนได้เห็นเหตุการณ์ดังนี้จึงวิ่งกลับเข้าบ้านหยิบไฟฉายมา และวิ่งตรงไปยังที่ ๆ จานบินตก แต่ก็ต้องพบกับสัตว์ประหลาดตัวดังกล่าวนี้ ซึ่งมันสูง 10 ฟุต มันส่งเสียงร้องดังประหลาด และมีหยดน้ำหยดลงมาคล้ายน้ำมัน และได้กลิ่นเหม็นไหม้คล้ายกลิ่นเหล็กถูกเผาไฟ ซึ่งเสียงร้องของมันนี้ทำให้พยานทั้งสามคนนี้มีอาการเจ็บป่วยที่ท้อง ภายหลังมีบุคคลอื่นติดอาวุธเช่น ปืนสั้น เข้ามาในพื้นที่ด้วย แต่ไม่พบสัตว์ประหลาดตัวดังกล่าวแล้ว แต่กลิ่นเหม็นไหม้นั้นยังอบอวลอยู่ในอากาศ

ต่อมาหลังเหตุการณ์นี้ เรื่องราวดังกล่าวได้ถูกปกปิดโดยเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐ หนึ่งในพยานได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เพียงเล็กน้อยหลังเหตุการณ์เกิดมานานหลายปีแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่รายหนึ่งให้สัมภาษณ์สั้น ๆ ว่า มีความเป็นไปได้ที่อาจมีวัตถุอะไรตกลงมาจริง ซึ่งอาจเป็นอุกกาบาตก็ได้

ข้อสันนิษฐาน

มีข้อสันนิษฐานจากนักจานบินวิทยา เชื่อว่า สัตว์ประหลาดแฟลทวูดส์นี้เป็นมนุษย์ต่างดาวหรือหุ่นยนต์ หรือ จานบินมีชีวิตที่ตกมายังโลก ในรายการ Monster Quest (ออกอากาศในประเทศไทยเมื่อกลางปี ค.ศ. 2010 ทางช่องฮิตทรี โดยทรูวิชันส์) ได้ทำการค้นคว้าเรื่องนี้ในชื่อตอน Lizard Monster โดยพบซากหัวกะโหลกของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่บิดเบี้ยว เรียกว่า "เด็กจากดวงดาว" เชื่อว่าอาจจะเป็นสัตว์ประหลาดแฟลทวูดส์หรือไม่เป็นความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด)

ข้อมูล
ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ
เครดิตภาพ
http://theudericus.free.fr/Ufologie/Flatwoods/Flatwoods_Monster.jpg

10 เรื่อง หลอกลวง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

10 เรื่อง หลอกลวง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก


ใน แต่ละปีหลายคนทั่วโลกมักถูกหลอกลวง มีหลายเรื่องที่เผยแพร่ไปในอินเตอร์เน็ตหรือหนังสือพิมพ์ที่ทำให้เราหลง เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงและต่อไปนี้ก็คือ 10 อันดับเรื่องหลอกลวงในประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด แม้ว่าจะมีการยืนยันว่าเป็นเรื่องหลอกลวงแล้วก็ตามแต่บางคนก็ยังเชื่อว่า เป็นเรื่องจริงอยู่ดี (ถึงเขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก)

10. The Cardiff Giant 1869

ยักษ์ แห่งคาร์ดิฟฟ์เป็นหนึ่งในเรื่องหลอกลวงที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ อเมริกัน โดยเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1869 ที่คาร์ดิฟฟ์ นิวยอร์ก คนงาน 2 คน กำลังขุดดินที่ฟาร์มของนายวิลเลียม นิวเวลได้พบร่างยักษ์ที่กลายเป็นหิน ข่าวยักษ์แห่งคาร์ดิฟฟ์จึงแพร่กระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ซึ่งความจริงแล้ว ยักษ์แห่งคาร์ดิฟฟ์เป็นของปลอมที่สร้างขึ้นโดยจอร์จ ฮัลเป็นนักค้ายาสูบชาวนิวยอร์ก (ญาติของวิลเลียม นิวเวล) ที่มาจากการที่เขาทะเลาะกับบาทหลวงชื่อเติร์ก ถึงบทหนึ่งในไบเบิลที่ระบุว่า ยักษ์เคยอาศัยอยู่บนโลก เขาเลยตัดสินใจที่จะ สร้างยักษ์โดยจ้างคนไปแกะสลักหินยิปซั่มให้เป็นยักษ์โดยเขาบอกคนแกะสลักว่า จะทำเป็นอนุสาวรีย์ของอับราฮัมลินคอล์นในนิวยอร์กจากนั้นเขาก็เอาคราบและกรด ต่างๆ มาราดลงในรูปปั้นให้เหมือนของเก่า แถมด้วยการปักฝังเข็มลงไปให้ดูเหมือนรูขุมขน ก่อนที่จะเตรียมบทจ้างคนงานสองคนทำเป็นขุดพบเจอยักษ์แล้วประกาศว่า “พบยักษ์แห่งคาร์ดิฟฟ์ที่นี่” และมันก็ได้ผล มีผู้สนใจดูยักษ์จำนวนมากมาย จนเงินเข้ากระเป๋านิวเวล และฮัลมากมาย ขนาดพิที. บาร์นัม ผู้ยิ่งใหญ่แห่งโชว์แสดงของแปลกยอมจ่ายเงินเพื่อชมสิ่งหลอกลวง และขอเช่ายักษ์ถึงหกหมื่นดอลลาร์ แต่ก็ได้รับปฏิเสธกลับมา บาร์นัม จึงสร้างของเลียนแบบยักษ์คาร์ดิฟฟ์ฮันนัมจึงฟ้องร้องบาร์นัมต่อศาล และวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1870 เรื่องของยักษ์คาร์ดิฟฟ์ก็มาความมาแตกในการพิจารณาคดีนี่เอง…เอวัง

9. The Protocols of the Elders of Zion 1890

“บันทึก ข้อสนธิสัญญาของปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน” เป็นนิยายที่เขียนขึ้นมาโดยมีเจตนาในการตำหนิความเลวร้ายของยิว ในความพยายามครอบครองโลกโดยใช้อำนาจการเมืองและเศรษฐกิจ ใช้เล่ห์กลเข้าครอบงำสื่อ และให้ทุนเพื่อป่วนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างศาสนา และเรียกบรรดาผู้นำทางปัญญา เจ้าของความคิดชั่วร้ายว่า “ปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน”และนี้เป็นเป็นตัวอย่างที่รู้จักกันดีว่าเป็นเรื่อง หลอกลวง ที่เริ่มต้นจากหนังสือพิมพ์รัสเซียเอ็มไพร์ ตีความครั้งแรกในปี 1903 ข้อความได้ถูกแปลหลายภาษาและเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางตอนต้นศตวรรษที่ยี่สิบ และมันก็แพร่หลายไปในประเทศอเมริกาในปี 1921นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือของฮิตเลอร์ในการทำให้เกิดความเกลียดชังของ ชาวยิวในเยอรมนี และใช้ในการปฏิวัติรัสเซียเพื่อก่อกรรมทำเข็น และความรุนแรงต่อชาวยิว(โดยอ้างว่าสมาคมลับชาวยิวอยู่เบื้องหลัง) ก่อนจะถูกพบว่าเป็นเรื่องหลอกลวงที่เกิดขึ้นจากงานเสียดสีทางการเมือง แต่กระนั้นเรื่องราวเหล่านี้ได้กลายทฤษฏีสมคบคิดและแรงบันดาลใจกับสื่อต่างๆ เป็นที่เรียบร้อย

8. Loch Ness – the Surgeon's Photo 1934

เนส ซี หรือ สัตว์ประหลาดล็อกเนสส์ คือ สิ่งมีชีวิตลึกลับชนิดหนึ่งที่เชื่อว่าอาศัยอยู่ในทะเลสาบล็อกเนสส์ แคว้นสกอตแลนด์ ที่มีพยานหลายคนเห็น และมีภาพถ่ายจำนวนมากมาย (เกือบทั้งหมดเป็นของปลอม) จนถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาไม่มีใครรู้แน่ว่าเจ้าสัตว์ที่ถูกขนานนามว่า “เนสซี” นี้มีตัวตนจริงหรือไม่หนึ่งในภาพลักษณ์ของเนสซีที่มีชื่อเสียงคือ ภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงที่สุดของเนสซีเป็นภาพของศัลยแพทย์ (The Surgeon's Photo) ถ่ายโดย น.พ.เคนเนท วิลสันศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ ถ่ายไว้เมื่อเดือนเมษายน ในปี ค.ศ. 1934 โดยภาพนี้เป็นรูปสัตว์คอยาวโผล่เหนือน้ำ โดยวิลสันได้อ้างว่าตอนนั้นเขา และเพื่อนคนหนึ่งกำลังขับรถเลียบไปตามถนนริมทะเลสาบล็อคเนสส์ เป็นการเริ่มต้นวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่พวกเขาหวังว่าคงได้ถ่ายภาพสัตว์ป่าไว้ได้บ้าง และในขณะที่หยุดพักแรมใกล้กับอินเวอร์มอร์ริสัน ขณะที่วิลสันนั่งเหยียดขาอยู่ริมทะเลสาบนั่นเอง เขาได้เห็นอะไรบางอย่างพ้นน้ำ จึงคว้ากล้องถ่ายรูปมาไว้บันทึกภาพได้ชุดหนึ่งซึ่งภาพเหล่านั้นแสดงให้เห็น ถึงส่วนหัวและคอ ที่สะโอดสะองและลำตัวของมันเห็นเลือนรางอยู่ใต้ผิวน้ำ ภายนี้ถูกเผยไปให้สาธารณะชน และถึงมือบรรดาผู้เชี่ยวชาญได้ลงความเห็นว่า ยังคงเป็นภาพถ่ายที่ดีที่สุดของเนสสีเท่าที่เคยมีมา และในไม่ช้าทะเลสาบก็คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว นักวิทยาศาสตร์ นักล่า นักเรียน ชาวบ้านร้านตลาดพากันไปทำธุรกิจอาหารและที่พักอย่างเป็นล่ำเป็นสันและอึกทึก ครึกโครมต่อมาในปี 1990 ภาพก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นของหลอกลวง โดยสารคดี Discovery Communications' documentary Loch Ness จากการวิเคราะห์อย่างละเอียดก็พบว่าวัตถุที่อยู่ในภาพไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไร มากมาย (แค่ 2-3 ฟุต เท่านั้น) เห็นได้จากระลอกในน้ำ เหมือนวัตถุถูกลากจูงโดยบางสิ่งบางอย่าง มันเป็นภาพที่เรือดำน้ำของเล่นที่ดัดแปลงให้เหมือนหัวไดโนเสาร์คอยาวมากกว่า แต่กระนั้น น.พ.เคนเนท วิลสันก็อ้างว่า “บางสิ่งบางอย่างในน้ำ” ไม่ได้บอกว่าเป็นเนสซีอะไรสักหน่อย (ก่อนที่เขาเสียชีวิตก็ได้สารภาพว่า นี้เป็นของปลอมโดยแรงจูงใจเป็นการแก้แค้นที่ครั้งหนึ่งเขาเคยพบรอยเท้ามอน สเตอร์ แต่หลายคนบอกว่ามันคือรอยเท้าฮิปโป) แต่กระนั้นภาพนี้ได้ส่งผลทำให้มีคนถ่ายรูปที่อ้างว่าเป็นเนสซีมากมายในเวลา ต่อมา

7. The Turk 1717

ใคร เคยอ่านการ์ตูน C.M.B. (เล่ม 7) ก็จะร้องเอ๋อ โดย “ชาวตรุกี” เป็นกลหรือหุ่นยนต์ที่เล่นหมากรุก ที่เปิดตัวในปี 1770 โดยเคนเปเลน (Wolfgang von Kempelen) วิศวกรชาวฮังการี 1734-1804 ที่ต้องการสร้างความประทับใจแก่จักรรพดินี มาเรีย เธเรเซียแห่งออสเตรียโดยเขาอ้างว่าตุ๊กตากลนี้มีความคิดเป็นของตนเอง และมันสามารถเดินหมากรุกเองได้และผลปรากฏว่ามันเล่นหมากรุกได้เก่งกว่าฝ่าย ตรงข้าม จนข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วยุโรปส่งผลทำให้ชาวตรุกีได้แข่งหมากรุกกับผู้มี ชื่อเสียงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินโปเลียนจักรพรรดินีเอกาเตนีนาที่ 2 แห่งรัสเซียไปจนถึงเบนจามิน แฟรงคลินที่อเมริกาโดย “ชาวตรุกี” ได้รับความนิยมไปแสดงเล่นหมากรุกไปทั่วโลกนานถึง 84 ปีโดยมีการปกปิดกลไกอย่างเข้มงวด จนทำให้มีบรรดาเศรษฐีต่างยอมทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อ “ชาวตรุกี” นี้ เพื่อไขความลับ แต่ที่น่าพิศวงคือคนที่ซื้อ “ชาวตรุกี” ซึ่งมีหลายคนที่เป็นเจ้าของต่างไม่ยอมเปิดเผยความลับกลไกนี้จนกระทั้งในปี 1820 ก็เกิดเพลิงไหม้ที่พิพิธภัณฑ์ในอเมริกา ซึ่งต้นแบบ “ชาวตรุกี” ก็ถูกทำลายไปด้วย อีกทั้งความลับก็ถูกเปิดเผยซึ่งความจริงแล้ว “ชาวตรุกี” ไม่ใช่ตุ๊กตากลที่คิดเองได้ แต่เป็นเพียงตุ๊กตาที่มีคน (ที่เก่งมหากรุก) เข้าไปควบคุมข้างใน (คนเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะ) จนกลายเป็นมายากลแทนที่จะเป็นกลไกส่วนสาเหตุที่พวกเศรษฐีที่ซื้อไปไม่ยอม เปิดเผยความลับกลไกนี้ก็เพื่อจะได้หลอกขายต่อในราคาแพงๆ อีกต่อหนึ่งนั่นเอง

6. The Priory of Sion 1956

ไพร เออรี ออฟไซออน หรือ สำนักศาสนาแห่งไซออน กล่าวกันว่าเป็น ชื่อขององค์กรลับที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยุโรปตะวันตก ที่ก่อตั้งและถูกยุบในฝรั่งเศสในปีพ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1956) โดยปิแอร์ ปลองตาร์ด (Pierre Plantard) ในทศวรรษที่ 1960 ปลองตาร์ดได้แต่งประวัติศาสตร์ขององค์กรขึ้นมา โดยกล่าวว่ามันเป็นสมาคมลับที่ก่อตั้งขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มเมื่อปีพ.ศ. 2142 (ค.ศ. 1099) ซึ่งได้ปกป้องสายเลือดของ ราชวงศ์เมโรแว็งเชียง เรื่องโกหกนี้ถูกขยายขึ้นและโด่งดังในหนังสือชื่อ The Holy Blood and the Holy Grail ในปีพ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) และต่อมาในนวนิยายสืบสวนชื่อรหัสลับดาวินชี หลังจากเป็นคดีดังตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1960-1980 ไพรเออรี ออฟไซออนถูกเปิดเผยว่าเป็นสิ่งที่ ปลองตาร์ดสร้างขึ้นเพื่ออ้างสิทธิในราชบัลลังก์ของฝรั่งเศสหลักฐานที่สนับ สนุนการมีอยู่ในประวัติศาสตร์และกิจกรรมของกลุ่มก่อนปีพ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) ถูกค้นพบว่าถูกหลอมและนำไปไว้ในที่ต่างๆ ทั่วฝรั่งเศส โดยปลองตาร์ดและผู้สมรู้ร่วมคิด ถึงกระนั้นผู้คนมากมายที่เชื่อว่าไพรออรี ออฟ ไซออนเป็น สมาคมลับในยุคเก่าซึ่งได้ปกปิดความลับที่จะล้มล้างเอาไว้ตำนานของไพรเออรี ออฟไซออนถูกหักล้างอย่างมาก โดยนักข่าวและนักปราชญ์ว่ามันเป็นเพียงเรื่องโกหกในศตวรรษที่ 20 ผู้สงสัยบางคนแสดงความรู้สึกว่าหนังสือมากมายที่โด่งดัง เว็บไซต์ และภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งนี้ได้ทำให้ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด ประวัติศาสตร์เทียม และการสับสนอื่นๆ กลายมาเป็นกระแสหลัก ทำให้พวกอื่นๆได้รับปัญหาจากแนวคิดฝั่งขวาที่ทำให้พวกเขามีส่วนร่วมในผลงาน เหล่านั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

5. Feejee Mermaid 1842

ซาก เงือกฟิจิ เป็นหนึ่งในเรื่องที่คนไทยเรายังเชื่ออยู่ โดยเป็นคำเรียกซากของสิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งปลาที่นิยมออกมาโชว์ให้ประชาชน ของโลกตะวันตกได้ดูนามหลายศตวรรษโดยซากเงือกฟิจิมักเป็นตัวชูโรงของ ห้องสารภัณฑ์ (สิ่งที่อาจจะเกี่ยวกับธรรมชาติวิทยา(ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นของปลอมก็ได้ ส่วนมากเป็นของสะสมส่วนตัว) ของ พินีอัส เทย์เลอร์ บาร์นัม (ย่อว่าพีที (5 กรกฎาคม 1810 -- 7 เมษายน 1891) โดยตอนแรกที่ซากเงือกฟิจิไม่ได้รับการเปิดเผยว่า เป็นของปลอมที่ทำมาจากหางปลาที่สตั๊ฟไว้มาต่อเข้ากับท่อนบนของมัมมี่ลิงตัว เมียนั้น พิทีได้ซื้อพิพิธภัณฑ์ที่นิวยอร์กแต่พิพิธภัณฑ์ดังกล่าวคนเข้าน้อย เขาเลยคิดเอาของแปลกๆ ที่ไม่ใครคิดมาตั้งโชว์และเขาก็นึกถึงเรื่องเงือกปลอมมาได้ เขาเลยเอาเงือกปลอมดังกล่าวมาตั้งโชว์โดยบอกว่ามันเป็นของหายากจากตะวันออก ไกล ผลคือมีหลายคนเชื่อ ถึงขั้นมีนักข่าวสำนักพิมพ์รุมสัมภาษณ์ นอกจากนี้ฟิทียังสร้างเรื่องให้น่าเชื่อถือโดยการจ้างนักชีววิทยาตัวปลอมใน ชื่อดร.กริฟฟิน แห่งพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาไลเซียมเป็นคนจับเงือกนี้ได้ในปี 1842 พิทีสามารถหลอกคนดูได้อย่างแยบยลและร่ำรวย จนเขาตั้งสมญานามให้ตัวเองว่า 'เจ้าแห่งการหลอก' (Prince of Humbug) และชื่อของเขาก็โด่งดังว่าเป็นคนที่สร้างความสุขให้แก่คนดูด้วยการหลอก ซึ่งกว่ามีคนรู้ว่าเป็นของปลอมหลายศตวรรษเลยทีเดียว ส่วนซากเงือกฟิจินั้นถูกนำไปแสดงทั่วประเทศจนกระทั้งมันหายสาบสูญไปในปี 186 และปัจจุบันเงือกฟิจิยังคงมีการหลอกลวงขายในเว็บอีเบย์และเอามาล้อเลียนใน สื่อต่างๆ มากมาย

4. Piltdown Man 1912

“พิลต์ ดาวน์แมน” เป็นเล่ห์เลี่ยมที่มีชื่อเสียงทางโบราณคดี ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1912 เมื่อชาร์ลส์ ดอว์สัน ชาวอังกฤษได้ค้นพบชิ้นส่วนของกะโหลกศีรษะและขากรรไกรจากหลุมกรวดที่หมู่บ้าน พิลต์ดาวน์ แคว้นอีสต์ซัสเส็กซ์โดยชิ้นส่วนเหล่านี้วิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก แล้ว พบว่าเป็นฟอสซิลที่ไม่รู้จักมาก่อน และน่าจะเป็นฟอสซิลของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ พร้อมกับตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ให้กับมนุษย์สายพันธุ์ใหม่เป็นภาษาลาตินว่า Eoanthropus dawsoni (รุ่นอรุณมนุษย์ของดอว์สัน) และเรื่องของพิลต์ดาวน์แมนก็กลายเป็นเรื่องชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ด้วย เหตุผลคือการมันเกี่ยวข้องกับการไขวิวัฒนาการมนุษย์ และมันสามารถโกหกได้ยาวนาน 40 ปีขึ้น มีผู้สร้างอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกบริเวณที่พบฟอสซิลลวงโลกเมื่อค.ศ. 1938 กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าดอว์สันสร้างเรื่องขึ้นมาเอง ก็ปาเข้าไป ค.ศ. 1953 โดยพบว่า ดอว์สันทำการมิกซ์แอนด์แมตช์ด้วยการเอากะโหลกมนุษย์ ประกอบกับขากรรไกรล่างของลิงอุรังอุตังและฟันชิมแปนซีมาติดเข้าด้วยกัน ส่วนสาเหตุที่จับได้ก็เพราะฟอสซิลของพิลต์ดาวน์แมนไม่สอดคล้องกับเส้นทางการ วิวัฒนาการของฟอสซิลที่พบจากที่อื่นๆ

3. Alien Autopsy 1995

เรื่อง ราว เริ่มขึ้นในปี 1992 เมื่อ ผู้สร้างภาพยนตร์เรย์ ซานติลีได้ จัดนำ “ฟิล์มภาพยนตร์การผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว” มาเปิดเผยให้สาธารณะชนได้รับทราบโดยเขาอ้างว่าได้ซื้อฟิล์มภาพยนตร์ขาวดำ ขนาด 16 มิลลิเมตร มีความยาวกว่า 17 นาที(ไม่เปิดเผยถึงราคาที่ซื้อมา) จากช่างภาพของกองทัพ (ไม่เปิดเผยชื่อ) ซึ่งเนื้อหาภาพยนตร์เป็นภาพผ่าตัดซากมนุษย์ต่างดาว โดยซานติลีได้อ้างว่ามนุษย์ต่างดาวนี้คือตนเดียวกับที่มากับจานบินใน เหตุการณ์การจานบินตกที่รอสเวลส์เมื่อปี 1947โดยช่างภาพที่ขายให้กับเรย์ได้ถูกทางกองทัพเรียกตัวให้มาที่ฐานทัพใน เท็กซัสเพื่อทำการถ่ายก่อนที่ช่างภาพจะลักลอบนำฟิล์มไปขายให้กับเรย์ในที่ สุดภาพยนตร์ชุดนี้ได้ถูกนำมาออกแสดง นี้ออกอากาศ ในปี 1995 ในรายการ One-hour Special ผลปรากฏว่ามีคนสนใจดูมากจนต้องมีการนำมาออกอากาศซ้ำอีกถึงสี่ครั้งหลังจาก นั้นทำให้มีการถ่ายถอดออกไปในอังกฤษ, เยอรมัน, ฮอลล์แลนด์, บราซิลและอิตาลี (และอีก 32 ประเทศทั่วโลก) แน่ละความสงสัยได้ก่อตัวขึ้นมาในทันทีว่าเทปดังกล่าวเป็นของจริงหรือไม่ เพราะว่าภาพยนตร์ดังกล่าวมีสภาพสมบูรณ์เกินไป และศพมนุษย์ต่างดาวเป็นของจริงหรือเปล่าเพราะไม่เห็นอวัยวะภายในของมนุษย์ ต่างดาวเลย มันน่าจะเป็นหุ่นมากกว่าอีกทั้งมีอะไรหลายอย่างที่ไม่สมจริง เช่นห้องที่ใช้ทำการผ่าตัด หมอที่ผ่าตัด อีกทั้งนาฬิกา โทรศัพท์และเครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัดเหมือนเป็นเทคโนโลยีที่มีขึ้นหลังปี 1940 ในปี 2006 เรย์ก็ออกมารับสารภาพว่าฟิล์มภาพยนตร์นี้เป็นของปลอมแต่กระนั้นเขาก็บอกว่า ภาพยนตร์ของเขานั้นมีความจริงบางส่วนเท่านั้น (“ไม่กี่เฟรม” ในคำพูดของเขา) ในขณะส่วนที่เหลือได้รับการบูรณะตัดต่อใหม่ โดยเขาบอกว่าห้องผ่าตัดดังกล่าว สร้างจากห้องนั่งเล่นในโรเชสเตอร์สแควร์ในลอนดอน เครื่องในก็ใช้เครื่องในไก่แม้ว่าเรย์จะยอมรับว่าภาพยนตร์นี้เป็นของปลอม แล้วก็ตามแต่กระนั้นภาพยนตร์ผ่าตัดมนุษย์ต่างดาวก็กลายเป็นหนึ่งในองค์ประ กอบหลักทฤษฏีสมคบคิด นวนิยาย และสื่อต่างๆอีกมากมาย

2. The Cottingley Fairies 1917

แฟรี่ แห่งคอททิงเลย์ เป็นชุดภาพถ่ายที่เป็นรูปเด็กผู้หญิงเล่นกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่านางไม้มี ทั้งหมดห้าใบ ที่ถ่ายในเดือนกรกฎาคมปี 1917 โดยเอลซี่ ไรท์ (16 ปี) และฟรานซิส กรีฟิส (11 ปี) ซึ่งเป็นญาติของเธอ ทั้งสองสาวอาศัยอยู่ในหุบเขาคอททิงเลย์ใกล้ แบรดฟอร์ด ประเทศอังกฤษ วันนั้นพวกเธอได้เอากล้องที่ยืมจากพ่อ และถ่ายรูปนางไม้โนมมาได้ ซึ่งครอบครัวของพวกเธอเชื่อว่าภาพเหล่านี้เป็นของจริงในฤดูร้อนปี 1919 รูปถ่ายนี้ก็ถูกแพร่หลายและเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์(ผู้เขียนเซอร์ล็อคโฮล์ม) ได้ทำการตรวจสอบภาพดังกล่าว เขาได้เขียนบทความลงในนิตยสารชั้นนำไว้ว่าภาพของพวกเธอนั้นเป็นของจริง “จากหลักฐานที่ได้ ผมมีความลังเลที่จะบอกได้ว่าภาพเหล่านี้เป็นขอปลอม” และ 'เด็กๆ ของคนชั้นกรรมกรจะมีความรู้เรื่องการตัดต่อภาพได้ยังไง' ซึ่งท่านเซอร์เชื่อว่ารูปถ่ายนี้เป็นของจริงจนวาระสุดท้ายของชีวิตเลยที เดียวเดือนธันวาคมปี 1920 ดอยล์ได้ทำการประกาศรูปเหล่านี้ลงนิตยสารพร้อมกับยืนยันว่าแฟรี่ในรูปเป็น ของจริง ซึ่งเรื่องนี้ได้รับเสียงตอบรับมากมาย ทำให้นักข่าวและผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลไปยังคอททิงเลย์ดอยล์นั้นถึงกับออก หนังสือเกี่ยวกับแฟรี่แห่งคอททิงเลย์และกล่าวว่าเขาเชื่อเด็กหญิงทั้งสองคน ว่าพวกเธอพูดจริง จนกระทั้งในวันที่ 24 พฤษภาคม 1965 เอลซี่ก็ได้ให้สัมภาษณ์แก่นิตยสารเดลี่เอกซ์เพรสว่ารูปของแฟรี่เหล่านั้น เป็นภาพที่เธอกับฟรานซิสทำปลอมขึ้นมาโดยไม่ได้ใช้เทคนิคการตัดต่อภาพใดๆทั้ง สิ้น พวกเขาแค่วาดรูปของแฟรี่ลงบนกระดาษแข็ง ระบายสีตัดออกมาติดไว้กับต้นไม้หรือพื้นเพื่อถ่ายรูปง่ายๆ แค่นั้น ที่พวกเขาทำแบบนี้ก็เพราะต้องการล้อเล่น แต่ท่านเซอร์โคนันกลับทำให้เรื่องใหญ่โตทำให้พวกเธอไม่รู้จะบอกความจริงยัง ไงดี แม้ว่าเด็กสองคนจะบอกว่าภาพเป็นของปลอมแล้วก็ตาม แต่กระนั้นทั้งสองก็บอกว่าพวกเธอเห็นแฟรี่จริงๆแต่ไม่สามารถถ่ายรูปของพวก เขาเอาไว้ได้

1. The Book of Mormon 1830

นาย โจเชพ สมิธ (1830-1844) ผู้ก่อตั้งลัทธิมอร์มอธ เขาได้อ้างว่า ในวันที่ 21 กันยายน 1823 สมิธอ้างว่าทูตสวรรค์มาพบเขาที่เนินเขาใกล้บ้านของเขาและเขาได้พบแผ่นโลหะ ทองคำเนื้อหาจารึกประวัติกลุ่มชาวยิว ที่เดินทางมาจากกรุงเยรูซาเล็ม มายังประเทศอเมริกานอกจากนั้นเขายังพบสองวัตถุหนึ่งที่เป็นรูปร่างเหมือน แว่นตาที่เรียกว่า อูริมและทูมมิม ซึ่งอ้างว่าเขาใช้มันในการแปลภาษาอียิปต์ปรับปรุงใหม่ ให้เป็นภาษาอังกฤษ จากปี 1827-1829 และพิมพ์ออกมาในปี 1830 ซึ่งคือ พระคัมภีร์มอร์มอน (The Book of Mormon) และเขาได้เรียกมอร์มอนของตัวเอง ว่า คริสตจักรของพระเยซูคริสต์เนื้อหาของหนังสือนั้นค่อนข้างผิดหลักศาสนาคริสต์ เป็นอย่างมาก แต่กระนั้นมันก็ได้รับความนิยมไปทั่ว และลัทธินอร์มอธก็โด่งดังในอเมริกา แต่กระนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาได้กล่าวว่าหนังสือทั้งเล่มนั้นเขียนโดยคน เดียวกัน นอกจากนั้นหนังสือยังอ้างสัตว์และพืชที่ไม่มีอยู่ในอเมริกาหลายชนิดสมิธอ้าง ว่าหนังสือคัดจากคำจารึกที่ถูกฝังไว้ในปี ค.ศ. 428 แต่จากการศึกษา พบว่า ประมาณ 25,000 คำ ในคัมภีร์มอร์มอน คัดมาจากพระคัมภีร์ฉบับ King James Version ซึ่งเขียนในช่วง ค.ศ. 1611 ทำให้เชื่อว่าเรื่องของโจเซฟ สมิธนั้นเป็นเรื่องโกหก
ที่มา: http://www.toptenthailand.com/topten/detail/20140331121956895

ค่ายกักกันดาเคา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พิกัดภูมิศาสตร์: 48°16′8″N 11°28′7″E
ภาพถ่ายทางอากาศของค่ายในอดีต
ภาพถ่ายทางอากาศของอนุสรณ์สถานดาเคาในปัจจุบัน
ค่ายกักกันดาเคา (เยอรมัน: Konzentrationslager (KZ) Dachau) เป็นค่ายกักกันนาซีแห่งแรกที่เปิดในเยอรมนี ตั้งอยู่บนที่ดินของโรงงานผลิตอาวุธร้างใกล้กับเมืองสมัยกลางชื่อว่า ดาเคา ห่างจากเมืองมิวนิกในรัฐบาวาเรียไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 16 กิโลเมตร ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคใต้ของเยอรมนี ค่ายนี้เปิดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1933 (51 วันหลังฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจ)[1] และเป็นค่ายกักกันปกติแห่งแรกที่จัดตั้งโดยรัฐบาลผสมระหว่างพรรคชาติสังคมนิยม (พรรคนาซี) กับพรรคชาตินิยมประชาชนเยอรมัน (ถูกยุบเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1933) ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ หัวหน้าตำรวจเมืองมิวนิก อธิบายค่ายอย่างเป็นทางการว่า "ค่ายกักกันนักโทษการเมืองแห่งแรก"[1]
ดาเคาเป็นต้นแบบและตัวอย่างของค่ายกักกันนาซีแห่งอื่นๆ ที่จะมีขึ้นตามมา แทบทุกชุมชนในเยอรมนีมีสมาชิกถูกนำไปยังค่ายเหล่านี้ หนังสือพิมพ์รายงาน "การย้ายศัตรูของไรช์ไปยังค่ายกักกัน" อย่างต่อเนื่อง และเมื่อ ค.ศ. 1935 ได้มีบทร้อยกรองจิงเกิล (jingle) เตือนว่า: "ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพระองค์โง่ เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้ไม่ต้องไปดาเคา" (Lieber Gott, mach mich dumm, damit ich nicht nach Dachau kumm)[2]
การจัดการพื้นฐานของค่าย การออกแบบเช่นเดียวกับแผนสิ่งปลูกสร้าง พัฒนาโดย คอมมันดันท์ ธีโอดอร์ ไอคเคอ (Theodor Eicke) และได้ปรับใช้กับทุกค่ายที่สร้างขึ้นภายหลัง เขามีค่ายที่มั่นคงแยกต่างหากใกล้กับศูนย์บัญชาการ ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่อยู่อาศัย ฝ่ายบริหาร และค่ายทหาร ไอคเคอเองกลายมาเป็นหัวหน้าผู้ตรวจการค่ายกักกันทุกแห่ง ซึ่งรับผิดชอบต่อการก่อสร้างค่ายอื่นๆ ให้เป็นไปตามแบบของเขา[3]
ค่ายถูกใช้ตั้งแต่ ค.ศ. 1933 ถึง 1960 สิบสองปีแรกใช้เป็นศูนย์กักกันของจักรวรรดิไรช์ที่สาม ระหว่าง ค.ศ. 1933 และ 1938 นักโทษส่วนใหญ่มีเชื้อชาติเยอรมันซึ่งถูกควบคุมตัวด้วยเหตุผลทางการเมือง ภายหลังค่ายถูกใช้สำหรับนักโทษทุกประเภทจากทุกชาติที่ถูกกองทัพไรช์ที่สาม ยึดครอง[4] นับแต่ ค.ศ. 1945 ถึง 1948 ค่ายดังกล่าวถูกใช้เป็นเรือนจำแก่นายทหารเอสเอสที่รอการพิจารณา หลังจาก ค.ศ. 1948 ได้มีการจัดให้ประชากรเยอรมันที่ถูกขับไล่จากเชโกสโลวาเกียอาศัย อยู่ในค่าย และยังเป็นฐานของสหรัฐอเมริกา ค่ายดังกล่าวถูกปิดใน ค.ศ. 1960 และนับแต่นั้น ได้มีการก่อสร้างอนุสรณ์สถานขึ้นหลายแห่งที่นั่น ด้วยการยืนกรานของอดีตนักโทษ[5]
ประเมินสถิติลักษณะประชากรมีหลากหลายแต่อยู่ในพิสัยทั่วไปเดียวกัน เราอาจไม่มีวันทราบได้ว่ามีผู้ถูกกักขังหรือเสียชีวิตในค่ายจำนวนเท่าใด เนื่องจากยุคสมัยแห่งความยุ่งเหยิง แหล่งข้อมูลหนึ่งในประมาณการทั่วไปนักโทษกว่า 200,000 คน จากมากกว่า 30 ประเทศระหว่างช่วงจักรวรรดิไรช์ที่สาม สองในสามเป็นนักโทษการเมือง และเกือบหนึ่งในสามเป็นชาวยิว นักโทษ 25,613 คนเชื่อกันว่าเสียชีวิตในค่าย และอีกเกือบ 10,000 คนในค่ายย่อย[6] ส่วนใหญ่เป็นเพราะโรคระบาด ทุพโภชนาการและอัตวินิบาตกรรม ต้น ค.ศ. 1945 มีการระบาดของไข้รากสาดใหญ่ใน ค่ายเพราะมีการไหลบ่าเข้ามาของนักโทษจากค่ายอื่นจนทำให้เกิดการแออัด หลังมีการอพยพ ซึ่งทำให้นักโทษที่อ่อนแอเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ในช่วงปลายสงครามมีการเดินแถวมรณะ (death march) ออกจากและเข้ามายังค่ายทำให้นักโทษเสียชีวิตจำนวนมาก แต่ไม่ทราบจำนวน แม้หลังมีการปลดปล่อยค่ายแล้ว ก็ยังมีนักโทษที่อ่อนแอเกินกว่าจะมีอาการดีขึ้นเสียชีวิตต่อไป
ในช่วงที่เป็นค่ายกักกันกว่าสิบสองปี ฝ่ายบริหารดาเคาบันทึกการนำเข้านักโทษ 206,206 คน และมีผู้เสียชีวิต 31,951 คน มีการก่อสร้างเมรุเพื่อจัดการกับศพ ไม่มีหลักฐานการสังหารหมู่ภายในค่าย และแม้จะมีการอ้างว่าใน ค.ศ. 1942 นักโทษกว่า 3,166 คนในสภาพอ่อนแอถูกส่งไปยังปราสาทฮาร์ไทม์ใกล้กับลินซ์ และมีการประหารชีวิตด้วยแก๊สพิษด้วยเหตุผลว่า พวกเขามีร่างกายไม่แข็งแรง[4] การวิจัยเดียวกันเตือนว่า แม้จะเป็นข้อมูลจากนักเคลื่อนไหวการล้างชาติโดยนาซีในกรุงเยรูซาเล็ม แต่คำให้การของผู้รอดชีวิตก็มีชื่อเสียว่าเชื่อถือไม่ได้[7]

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

พีระมิดในจีน..เขตพื้นที่ต้องห้ามรัฐบาลจีน ปริศนาโลกโบราณ 4,500 ปี ที่ยังไม่เปิดเผย



เมื่อเอ่ยถึงคำว่า "พีระมิด" คนจำนวนมากต่างจะต้องนึกถึงภาพของมหาพีระมิดในประเทศอียิปต์ในยุคอารยธรรม โบราณประมาณ 3150 ปีก่อนคริสตกาล และมีหลายต่อหลายคนนึกถึงหมู่พีระมิดของอาณาจักรมายาโบราณที่มีอายุ 500 ปีก่อนคริสตกาลในประเทศแม็กซิโก และแน่นอนว่ามีอีกหลายท่านยังไม่ทราบว่ามีพีระมิดในทวีปเอเชียนั่นก็คือ "พีระมิดในประเทศจีน" ที่คาดว่ามีอายุเก่าแก่ประมาณ 2,400 ปีก่อนคริสตกาล เอาละซิทีนี้...เรื่องนี้มันเป็นมายังไงกันแน่..?? หลายคนคงจะสงสัย


ภาพถ่ายทางอากาศของหมู่พีระมิดในเขตต้องห้ามของรัฐบาลจีน มณฑลซานซี


พีระมิด ในพื้นที่ต้องห้ามของรัฐบาลจีน ณ มณฑลซานซี

     ในช่วงที่ "Hartwig Hausdorf" นักสำรวจชาวเยอรมัน ซึ่งไปท่องเที่ยวในจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วงปี 1994 ด้วยความบังเอิญหรือจงใจก็ไม่ทราบ เขาได้แอบเดินท่อมๆเข้าไปสำรวจในบริเวณพื้นที่ต้องห้ามของรัฐบาลจีนในมณฑล ซานซี และ Hausdorf ได้ถ่ายภาพของหมู่ซากโบราณสถานขนาดใหญ่บางอย่างออกมา ในภาพเป็นเป็นลักษณะเนินดินขนาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมที่สามารถมองเห็นถึงรูปทรง เหลี่ยมที่มีมุมฉาก 4 ด้านอย่างชัดเจน และภาพถ่ายของกลุ่มโบราณสถานพวกนี้ทำเอา Hausdorf ถึงกับตะลึงงัน..ช่ายยยครับ ใครล่ะจะเชื่อว่าในจีนแผ่นดินใหญ่จะมี "พีระมิด" อยู่เป็นจำนวนมากมายตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางที่ราบเกษตรกรรมแบบนี้


หมู่พีระมิดดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตต้องห้ามที่รัฐบาลจีนได้ทำการจัดสรรเพื่อพื้นที่ทางการเกษตรแก่ชาวบ้าน

พีระมิดแห่งนี้ มีความสัมพันธ์อื่นใดกับปิระมิดในพื้นที่อื่นหรือเปล่า...?
     Hausdorf ได้เขียนในหนังสือของเขา ซึ่งพิมพ์ออกมาจำหน่ายในภายหลังว่า พีระมิดมากมายเหล่านี้ มีอายุมากกว่า 4500 ปีขึ้นไปอย่างไม่ต้องสงสัย พีระมิดส่วนใหญ่ถูกทำขึ้นมาจากดินเหนียวซึ่งแข็งโป๊กอย่างกับหิน มีอยู่ส่วนหนึ่งซึ่งเสียหายไป คาดว่าเกิดการการกัดเซาะหรือพังทลายตามธรรมชาติ และก็มีอีกส่วนหนึ่งเหมือนกันที่เสียหายไปเพราะน้ำมือของมนุษย์ แหม.. ก็มันดันไปตั้งอยู่ในพื้นที่กสิกรรมนี่ครับ เกะกะกีดขวางแบบนี้เค้าจะเอาไว้ทำไม



     พีระมิดบางหลังมีขนาดใหญ่พอๆกับพีระมิดในเมืองติโอติฮัวกันของชาวอินคา พีระมิดแทบทุกหลังมีการต่อเติมวิหารเล็กๆเอาไว้บนยอดด้วยครับ ทำให้นักโบราณคดีอดฉงนฉงายไม่ได้ว่า ใครหนอ ที่มาสร้างปิระมิดเหล่านี้เอาไว้ และมันมีความสัมพันธ์อื่นใดกับพีระมิดในพื้นที่อื่นหรือเปล่า ถ้าพีระมิดเหล่านี้ตั้งอยู่ในโลกเสรีก็ดีนะครับอย่างน้อยก็พอไปเยี่ยมชม ศึกษาได้ แต่นี่พี่แกดันมาตั้งอยู่หลังม่านไม้ไผ่อย่างจีน ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลยเงียบฉี่ปล่อยให้เป็นเรื่องที่สนใจไปทั่วโลก และหลังจากที่นักโบราณคดีทั่วโลกในช่วง ค.ศ. 2000 สนใจที่จะขอเข้าศึกษาโครงสร้างดังกล่าว ก็ได้รับการปฏิเสธจากทางรัฐบาลจีน...และก็ได้รับข่้อมูลแจ้งมาว่าทีมสำรวจ ทางโบราณคดีของจีนได้เข้าไปทำการสำรวจมาก่อนหน้านานแล้ว ซึ่งตรงจุดนี้ในปัจจุบันรัฐบาลจีนโดยสำนักงานโบราณคดีแห่งชาติได้ออกมา แถลงการออกมาต่อสาธารณะว่า "ถ้าหากยังไม่สามารถมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือ เทคโนโลยีที่มั่นใจว่าจะสามารถรักษาทรัพยสมบัติ,ภาพเขียน รวมถึงโบราณวัตถุภายในได้ ก็จะยังไม่สามารถเปิดให้พีระมิดเพื่อพิสูจน์โครงสร้างภายใน"






ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงที่ตั้งของหมู่พีระมิด มณฑลซานซี ของจีน




ภาพส่วนหนึ่งจาก VDO รายการสำรวจโลกที่ถ่ายจากเครื่องบินเพื่อสำรวจหมู่พีระมิด




ลักษณะโครงสร้างของพีระมิดที่ผังภายใต้ชั้นดิน




การคำนวนโครงสร้างและผังรูปแบบการจัดวางทางสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะคล้ายคลึงที่ประเทศอียิปต์


ภาพถ่ายดาวเทียมพีระมิดประธานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศจีน


ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงลักษณะของพีระมิดแบบขั้นบันได


ภาพถ่ายดาวเทียมในนิตยสาร The New York Sunday News ฉบับวันที่ 30 มีนาคม ปี 1947


ภาพถ่ายที่ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร The New York Sunday News ฉบับวันที่ 30 มีนาคม ปี 1947



ในปัจจุบันทางการจีนได้เริ่มเข้าไปสำรวจอีกครั้งนับตั้งแต่ปี 2000 ที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลทางด้านโบราณคดี, วิทยาศาสตร์ แต่อย่างใด หลายๆคนคงตั้งคำถาว่า...ตกลง พีระมิดที่บางคนว่าคือ  "ฮวงซุย" บ้างก็ว่า "เป็นอารยธรรมต่างดาว" และหลายๆคำตอบ...ตอนนี้ก็ยังคงถูกพับเก็บเป้นความลับของรัฐบาลจีนต่อไปครับ
พีระมิดของอียิปต์ : 3,150 ปีก่อนคริสตกาล
พีระมิดของจีน : 2,400 ปีก่อนคริสตกาล
พีระมิดของแม็กซิโก ( มายา ) : 500 ปีก่อนคริสตกาล

งั้นแปลว่าพีระมิดของจีนมีอายุเก่าแก่กว่าของอาณาจักรมายา 1,900 ปีก่อนคริสตกาล และหลังอียิปต์แค่ 750 ปี !!!


มหาพีระมิด ประเทศอียิปต์ ทวีปแอฟริกา


หมู่พีระมิด มณฑลซานซี ประเทศจีน ทวีปเอเชีย


พีระมิดของอาณาจักรมายา ประเทศแม็กซิโก ทวีปอเมริกาเหนือ 
รัฐบาลจีนโดยสำนักงานโบราณคดีแห่งชาติได้ออกมาแถลงการออกมาต่อสาธารณะว่า

"ถ้าหากยังไม่สามารถมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือ เทคโนโลยีที่มั่นใจว่าจะสามารถรักษาทรัพยสมบัติ,ภาพเขียน รวมถึงโบราณวัตถุภายในได้ ก็จะยังไม่สามารถให้เปิดพีระมิดเพื่อพิสูจน์โครงสร้างภายในได้"

สัญลักษณ์ทางคตินิยมของโครงสร้างเพื่อโลกหน้า ( โลกหลังความตาย ) มีรูปแบบที่คล้ายคลึงกันทั่วโลกเลยนะครับ เป็นแนวความคิดที่นำไปสู่การพัฒนาการณ์ทางระบบสถาปนิก, วิศวกรรม, การออกแบบ, จนผสมผสานเป็นศิลปกรรม ดูได้จากลักษณะการยกฐานสูง ปลายยอดแหลม โครงสร้างภายในเพื่อเก็บศพ สิ่งของมีค่า เพื่อหวังจะเอาไปใช้ในโลกหน้า...มันคล้ายคลึงกันตั้งแต่ 6,000-10,000 กว่าปีที่แล้ว...มีฉากหนึ่งของหนัง 10,000 BC จะเห็นได้ว่าในภาพยนต์มีพีระมิดแบบขั้นบันไดอยู่ งั้นก็แปลว่า...อาจจะมีรากฐานทางอารยธรรมยาวนานเกินกว่า 10,000 ปี

นี่ยังไม่นับรวมอาณาจักรโบราณมีการสร้างพีระมิดที่จมอยู่ใต้ท้องทะเลที่ยัง ไม่ค้นพบเป็นจำนวนมาก ที่คาดว่าอาจจะเก่าแก่กว่าอียิปต์ซะอีก

มันคือหลุมฝังพระศพของเจ้าแคว้นรัฐฉิน และจักรพรรดิสมัยซีฮั่น ไม่ได้ลี้ลับอะไร และมีอายุไม่เก่าแก่เท่าไหร่ แค่ราวๆ 350-100 ปีก่อนคริสตกาลหน่ะครับ มีการระบุค่อนข้างแน่ชัดเลยว่า หลุมในเป็นของใครโดยอ้างอิงจากตำแหน่งทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกต่อๆกันมา

ในภาพคือหมู่สุสานเยี่ยนหลิง เนินใหญ่สุดในภาพ เป็นของจักรพรรดิฮั่นจิ่งตี้ ครับ รอบๆเป็นของฮองเฮาป๋อ และฮองเฮาโจว (อันขนาดรองลงมา) ครับ (ฮองเฮาโจวเป็นพระมารดา่ของจักรพรรดิหวู่ตี้) นอกนั้นเป็นของพระสนมและองค์ชายอื่นๆ

จักรพรรดิจีนสมัยซีฮั่นสร้างหลุมฝังพระศพขนาดใหญ่แบบนี้เป็นเรื่องปกติ โดยเอาไว้ทางตะวันตกของเมืองฉางอันครับ สร้างให้่เป็นเนินดินรูปสี่เหลี่ยม ครอบหลุมศพด้านล่างอีกทีหนึ่ง เดิมทีมันเคยมีพวกรูปปั้นทหารหรือสัตว์เรียงรายสองข้างทาง แต่เสียหายจากสงครามในสมัยซีจิ้นและราชวงศ์ฝ่ายเหนือไปจนหมด

นอกจากเยี่ยนหลิงแล้ว ยังมีหมู่สุสานอื่นๆ ของจักรพรรดิฮั่นเหวินตี้, ฮั่นหวู่ตี้ (ใหญ่ที่สุดในบรรดาสุดสานสมัยซีฮั่น) และ ฮั่นจาวตี้ อีกครับ 

มันเคยมีข่าวว่า ที่มีการขุดพบสุสานนี้ครั้งแรกอ่ะ คนค้นพบค้นแรกนี้เป็นชาวนาธรรมดาๆคนนึงได้ไปพบ ปากทางเข้าสุสาน แต่ก็แจ้งไปยังทางการจีนแหละ ว่ามีอะไรซักอย่าง อยู่ในพื้นที่ของเขา  ตอนนั้นมีข่าวออกมาว่า มีการขุดพบ ซากพุทธรูป สีชมพู อายุเก่าแก่มากกกก ทางการจีนเลยทำการขุดขึ้นมา แต่มันมีเรื่องที่เหลือเชื่อก็คือ พอขุดออกจากถ้ำนั้นน่ะ  พุทธรูปก็เสียทรง เสียรูปไปเลย (ประมาณว่าพอโดน อากาศข้างนอกก็กลายเป็นผงไปเลย)

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางการจีนเลยไม่กล้าขุดต่อ แล้วก็สั่งห้ามพื่นที่นั้น ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง แต่ก็มีนักสำรวจต่างพากันคิด  หรือก็หาทางกันจะเข้าไป แต่ก็โดนค้านตลอด กลัวว่า วัตถุเก่าๆจะเสียไปอีก (เขาเชื่อว่าในนั้น มีหลุมพระศพ ของ จิ๋นซีอยู่ มีการป้องกันแน่นหนา มีกลไกล เยอะแยะป้องกันไม่ให้ใครไป ขโมย พระราชสมบัติ) <<< ประมาณหนัง the mummy ภาค 3 อ่ะครับ (แต่ในตำราประวัติศาสตร์จีนบอกว่า ศพพระองค์จะไม่เน่าเปื่อย เพราะมีธาตุอะไรซักอย่าง ทำให้พระศพอยู่ได้โดย ไม่มีการเน่่าใดๆทั้งสิ้น)

สุสานของจิ๋นซีอยู่ที่หลินถง ทางตะวันออกของเมืองเสียนหยางเดิมครับ
ส่วนสุสานของจักรพรรดิสมัยซีฮั่น จะอยู่ทางตะวันตกของเสียนหยาง อีกฟากของแม่น้ำเหวยสุึ่ย

สุสานพวกนี้ไม่ได้เก่าแก่ขนาดถึง 4,500 ปีครับ มีอายุราวๆ 2100 ปีเท่านั้น 



อย่างในภาพคือสุสานเหมาหลิง ของจักรพรรดิฮั่นหวู่ตี้ ครับ มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสุสานสมัยซีฮั่น เพราะพระองค์ครองราชย์ยาวนานมาก และเป็นยุคที่ราชสำนักฮั่นมีเงินเต็มท้องพระคลัง (จากยุคสมัยรุ่งเรืองของปู่และบิดาของพระองค์อย่าง จักรพรรดิเหวินตี้ และ จิ่งตี้)



ใกล้ๆกันเป็นสุสานหลวงของซ่านกวนไท่หวงไทเฮา ซึ่งเป็นฮองเฮาของจักรพรรดิจาวตี้ครับ
เนื่องจากจักรพรรดิจาวตี้สวรรคตตั้งแต่ยังหนุ่ม ซ่านกวนฮองเฮา เลยได้ยกระดับขึ้นเป็นไทเฮา (ตอนที่โอรสบุญธรรมของจักรพรรดิจาวตี้ คือ ฉางอี้อ๋อง ขึ้นนั่งบัลลังก์ชั่วคราวในปี 74 ก่อนคริสตกาล) และพอฉางอี้อ๋องโดนถอดจากราชสมบัติในปีนั้น หลิวปิงอวี้ ก็ขึ้นเป็นจักรพรรดิฮั่นเสวียนตี้แทนในปีเดียวกัน พระองค์เลยได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นไท่หวงไทเฮา (สมเด็จย่า) ในปีนั้นเอง

ตอนพระองค์ขึ้นเป็นไท่หวงไทเฮา หรือสมเด็จย่าของจักรพรรดิฮั่นเสวียนตี้ นั้น ซ่านกวนไท่หวงไทเฮา มีพระชนม์แค่ 15 ชันษาเองหน่ะครับ
ส่วนหลานของพระองค์อย่างจักรพรรดิฮั่นเสวียนตี้ มีพระชนม์มายุได้ 17 ชันษา ครับ

ซ่านกวนไท่หวงไทเฮา สวรรคตในปี 37 ก่อนคริสตกาล ในรัชกาลของจักรพรรดิฮั่นหยวนตี้ ที่เป็นเหลนของพระองค์ 

ดูๆไปอาจจะแปลกที่ ทำไมสมเด็จย่า มีอายุน้อยกว่าหลานชายได้

คือ หลิวปิงอวี้ หรือ จักรพรรดิฮั่นเสวียนตี้นั้นเป็นเหลนของจักรพรรดิหวู่ตี้ครับ ปู่ของพระองค์คือ หลี่ไท่จื่อ (หลิวจวู้) เป็นพระโอรสองค์โตของจักรพรรดิหวู่ตี้ที่ประสูติจาก เว่ยฮองเฮา ครับ
หลิวจวู้ เป็นรัชทายาทตั้งแต่พระชนม์ได้ 2 ชันษา และเป็นรัชทายาทมายาวนานเกือบ 30 ปี จนพระองค์ก่อกบฏคิดจะล้มจักรพรรดิหวู่ตี้ แต่ดันล้มเหลว ครอบครัวของพระองค์เลยโดนประหาร พร้อมกับโอรสทั้งหมดในสายของหลิวจวู้ด้วยหน่ะครับ เหลือแค่หลิวปิงอวี้ ที่เป็นลูกชายของ หลิวจิ้น โอรสของหลิวจวู้เท่านั้น ที่ตอนนั้นยังเป็นทารกพึ่งเกิด ทางการเลยไว้ชีวิตพระองค์ แต่ปลดยศลงเป็นสามัญชน

หลิวปิงอวี้ก็ใช้ชีวิตอย่างยากจนตั้งแต่เกิด เพราะพ่อแม่โดนประหารไปหมด ตนอาศัยกับญาติห่างๆเลี้ยงดูแบบตามมีตามเกิดไปเรื่อยๆ และเติบโตมาอย่างยากจน โดยมีราชสำนักคอยจับตาดูห่างๆเพื่อควบคุมความประพฤติ

ตอนหลัง หลิวปิงอวี้ได้แต่งงานกับ สวีผิงจุน ซึ่งเป็นลูกสาวของ สวีก่วงฮั่น ขุนนางใหญ่คนหนึ่งในราชสำนัก ความเป็นอยู่ของหลิวปิงอวี้เลยดีขึ้นครับ และพอจักรพรรดิจาวตี้สวรรคตในปีที่ 74 ก่อนคริสตกาล ฉางอวี้อ๋อง ก็ขึ้นเป็นจักรพรรดิรักษาการแทนชั่วครา

ทีนี้ ฉางอวี้อ๋อง กับ ฮั่วกว่าง อัครมหาเสนาบดีนั้นไม่ค่อยกินเส้นกันครับ ฮั่วกว่างเห็นว่า ฉางอวี้อ๋อง โง่งมและดื้อดึง ไม่เหมาะจะเป็นจักรพรรดิ เขาเลยรวมหัวกับเหล่าขุนนางร่วมกันถอดฉางอวี่อ๋อง จากราชสมบัติ และไปเชิญเอา หลิวปิงอวี้ มาเป็นจักรพรรดิแทนครับ (เพราะลูกหลานในสายของจักรพรรดิหวู่ตี้ไม่มีเหลือแล้ว)

หลิวปิงอวี้เลยขึ้นเป็นจักรพรรดิฮั่วเสวียนตี้ในปีนั้นเอง และเนื่องจากพระองค์เป็นสามัญชนมาก่อน พระองค์จึงเน้นความประหยัดครับ ในรัชกาลของพระองค์จึงไม่ได้สร้างสุสานหลวงขนาดใหญ่เหมือนรัชกาลก่อน
สุสานหลวงตู้หลิงของจักรพรรดิเสวียนตี้ จะมีขนาดเล็กมากหน่ะครับ



เนินดินที่เก่าแก่ที่สุด น่าจะเป็นสุสานหลวงของ จักรพรรดิโจวหลิงอ๋อง แห่งราชวงศ์ตงโจว ครับ ปัจจุบันอยู่ที่เมืองลั่วหยางครับ
สุสานของจักรพรรดิโจวยุคหลังจากนี้จะไม่มีแล้ว เพราะอำนาจราชสำนักโจวเสื่อมโทรมลงมาก จักรพรรดิไม่มีไพร่พลและเงินทองจะสร้างสุสานหลวงขนาดใหญ่อีกต่อไปหน่ะครับ 




 
สุสานเยี่ยนหลิง ของจักรพรรดิฮั่นเฉิงตี้ครับ
จักรพรรดิเฉิงตี้ เป็นโอรสของจักรพรรดิฮั่นหยวนตี้ครับ ครองราชย์ในช่วง 33-7 ปีก่อน คริสตกาล

ตลอดรัชสมัย พระองค์ไร้แก่นสารและอำนาจปกครองครับ คนที่นั่งเมืองจริงๆคือเหล่าราชินิกูลสกุลหวางทั้งสิ้น และสกุลหวางก็จะปกครองราชวงศ์ซีฮั่นต่อไปอีกหลายสิบปีจนเปลี่ยนราชวงศ์ครับ

สุสานของพระองค์มีขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะราชสำนักซีฮั่นไม่มีฐานทางการคลังแน่นหนาอีกต่อไปแล้ว



อันต่อมาคือสุสานหลวงของ จ้าวหวู่หลิงอ๋อง กษัตริย์รัฐจ้าวที่ถือว่าทรงเป็นนักปฏิรูปครับ ตั้งอยู่ที่เมืองต้าถง ในมณฑลซานซี

พระองค์ทำการปฏิรูปกองทหารรัฐจ้าวจนมีกองทัพม้าอันแข็งแกร่ง ทำให้รัฐจ้าวสามารถผงาดขึ้นมาเทียบรัศมีรัฐฉินและฉีได้ แต่ในช่วงปลายรัชกาล พระองค์กลับสละราชสมบัติตั้งแต่ยังแข็งแรง แล้วให้โอรสขึ้นนั่งบัลลังก์แทน จนนำมาซึ่งการเกิดกบฏและความเละเทะในราชสำนักจ้าว 



สุสานหลวงอันถัดมาคือ สุสานหลวงคังหลิง ครับ เป็นของจักรพรรดิฮั่นผิงตี้ ยุวจักรพรรดิช่วงปลายราชวงศ์ซีฮั่น

จักรพรรดิผิงตี้มีพระนามเดิมว่า หลิวจีจื่อ เป็นโอรสของ หลิวซิ่ง มีศักดิ์เป็นพระนัดดาในจักรพรรดิหยวนตี้หน่ะครับ ภายหลังจากจักรพรรดิฮั่นอายตี้สวรรคตอย่างมีเลศนัย ไท่หวงไทเฮาหวาง ก็แต่งตั้งให้หลิวจีจื่อ ที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ จักรพรรดิอายตี้ ขึ้นเป็นจักรพรรดิแทนในปีที่ 1 ก่อนคริสตกาลครับ
พระองค์เป็นจักรพรรดิหุ่นภายในอำนาจของสกุลหวาง ที่มีหวางหมั่งเป็นแกนนำอยู่  เนื่องจากพระองค์ไม่ค่อยยอมทำตามที่หวา งหมั่งสั่ง และหวางหมั่งก็เกรงว่า จักรพรรดิผิงตี้ที่เจริญชันษาขึ้นเรื่อยๆ อาจจะกำจัดเขาได้สักวัน หวางหมั่งเลยชิงลงมือก่อน วางยาพิษจักรพรรดิผิงตี้จนสวรรคตในปี ค.ศ. 5 ครับผม

จักรพรรดิผิงตี้ สวรรคตตอนพระชนม์แค่ 13 ชันษาเท่านั้น สุสานหลวงของพระองค์เลยมีขนาดไม่ใหญ่นัก



สุสานหลวงเว่ยหลิง สุสานหลวงของจักรพรรดิฮั่นหยวนตี้ครับ

พระองค์เป็นโอรสของจักรพรรดิฮั่นเสวียนตี้ ในยุคของพระองค์นั้นราชวงศ์ซีฮั่นเริ่มตกต่ำลง การคอรับชั่นกระจายไปทั่วราชสำนัก แถมพระองค์ก็ไปช่วงใช้สกุลหวาง ที่เป็นสกุลของฮองเฮา หวางเจิ้นจุน

แต่พระองค์ก็มีข้อดีคือ การส่งกองทัพไปโจมตีพวกซงหนูจนราบคาบครับ ราชสำนักซีฮั่นได้ยึดเอเชียกลางกลับมาในครอบครองอีกครั้งก็ในสมัยของพระองค์ นี้แล ทว่าก็ทำให้การคลังของซีฮั่นยวบแยบลงเช่นกัน 



สุสานหลวงอวี้หลิง ของจักรพรรดิฮั่นอายตี้ ครับ พระองค์เป็นยุวจักรพรรดิอีกพระองค์หนึ่งของราชวงศ์ฮั่น เป็นโอรสในจักรพรรดิฮั่นเฉิงตี้ครับ ตลอดรัชกาลก็ตกอยู่ใต้อำนาจของสกุลหวางอีกเช่นเดิม ก่อนจะประชวรสวรรคตอย่างกะทันหันอย่างมีเลศนัย



มาดูอันเก่าๆกันบ้างครับ

สุสานหลวงอันหลิง ของจักรพรรดิฮั่นฮุ่ยตี้ โอรสองค์โตในจักรพรรดิฮั่นเกาจู่ หน่ะครับ พระองค์เป็นจักรพรรดิลำดับที่สองแห่งราชวงศ์ซีฮั่น ครองราชย์ในช่วง 195-188 ปีก่อนคริสตกาล
ตลอดรัชกาลก็ต้องงัดข้อกับ หลี่ย์ไท่โห้ว พระมารดาตลอดศก พร้อมกับการวางรากฐานการปกครองของสกุลหลิวให้หยั่งรากไปทั่วแผ่นดิน 



สุสานหลวงฉางหลิง ของจักรพรรดิฮั่นเกาจู่ หลิวปัง ครับ

มีขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะในยุคนั้นราชสำนักซีฮั่นค่อนข้างจะถังแตก ว่ากันว่าในยุคแรกๆของรัชกาล ขนาดม้าเทียมรถพระที่นั่ง ยังหาสีเดียวกันให้ครบทั้ง 9 ตัวไม่ได้เลย

สุสานนี้อยู่ใกล้เมืองฉางอัน หรือซีอันค่อนข้างมากครับ คือตั้งอยู่ทางเหนือของแม่น้ำเหวยสุ่ย ห่างจากเมืองไปทางเหนือราวๆ 5 กิโลเมตรเท่านั้น ในยุคของจักรพรรดิฮุ่ยตี้ ตามจือจื้อทงเจี้ยนและสือจี้ บรรยายว่า จะมีระเบียงทางเดินยาวทอดจากพระราชวังในนครฉางอานไปยังสุสานหลวง ไว้สำเร็จให้จักรพรรดิเสด็จไปเคารพบรรพชนครับ

ความจริงคงต้องย้อนกันก่อนว่า พิรามิด ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการฝังศพ
เช่นที่อียิปต์ ที่ใช้ในการฝังศพกษัตริย์และราชินี
พิรามิดปกติแล้ว การจะเข้าไปภายในก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากลองไปดูผังพิรามิดของอียิปต์
จะเห็นว่าทางเดินจะแคบมาก ภายในมืดสนิท อากาศไม่ถ่ายเท มีทางเดินหลอก
ไม่ง่ายต่อการเดินเข้าไปนัก ยิ่งเดินเข้าไปยิ่งแคบไปเรื่อยๆ
ซึ่งทำไว้เพื่อเป็นกลลวงยามที่โจรลักลอบเข้ามาขโมยสมบัติ (เพราะเขาจะฝังสมบัติไว้ด้วย)
บริเวณรอบนอกพิรามิดก็ไม่ได้สร้างอาณาเขตขวางกั้นอย่างยิ่งใหญ่
ข้อแตกต่างลักษณะภายนอกของวัสดุดูจะเป็นที่อียิปต์ใช้หินอิฐขนาดใหญ่มาก่อ
ด้วยสภาพของพื้นที่ด้วย แต่ที่จีน ใช้ดินมาก่อ เมื่อเวลาผ่านไปต้นหญ้าใบไม้จึงขึ้นมาปกคลุม

ที่จริงแล้วพิรามิดที่อียิปต์และจีนอาจใช้งานในรูปแบบเดียวกัน
รูปแบบการก่อสร้างงานในอดีตมักพบคล้ายคลึงกัน ของงานในแต่ละที่เสมอๆ
อันนี้เป็นเพียงการลองมาเปรียบเทียบของเรานะค่ะ ที่ลองคิดขึ้นการใช้งานของพิรามิดดู
และการจากเคยได้ศึกษารูปแบบพิรามิดในอียิปต์มาบ้าง เลยคิดในแง่รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบพิรามิดดู
การที่จีนยังปิดสงวนเอาไว้ คงส่งผลต่อการสำรวจภายในด้วย เนื่องจากทำด้วยดิน
หรือไม่มั่นใจจริงๆว่าถ้าสำรวจแล้วจะสร้างความเสียหายกลับพิรามิดและวัตถุภายในหรือไม่ 

เราเพิ่งไปเที่ยวแถบนั้นมาค่ะ ยืนยันว่าคือฮวงซุ้ยจริงๆ เพียงแต่ไม่ใช่ฮวงซุ้ยกษัตริย์ เป็นฮวงซุ้ยของเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าเป็นของใครบ้าง และยังทำการเปิดไม่หมด เพราะมี "เยอะ" มากจริงๆ คือระยะห่างไม่ทิ้ง1-2กิโลเมตร

เราได้มีโอกาสไปเที่ยวสุสานของหลี่ซื่อหมิน ซึ่งห่างออกมามีพิพิธภัณธ์ที่รวบรวมวัตถุโบราณที่ขุดได้จากสุสานบริเวณนั้น

และที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ คือสุสานของเสนาบดีของหลี่ซื่อหมิน หน้าตาก็เป็นเนินดินเหมือนภูเขาสูงๆ แบบในภาพ สามารถเดินขึ้นไปได้ และทางจนท บอกว่าพื้นที่ใต้ดินบริเวณพิพิธภัณฑ์เต็มไปด้วยสมบัติโบราณ ซึ่งปัจจุบันถูกปิดเอาไว้ เพราะเกิดเหตุของถูกขโมย และยังไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอ

ในสมัยราชวงศ์ถังก็มีการสร้างเนินดินขนาดใหญ่ขึ้นมาเหมือนกัน และัจักรพรรดิถังก็สร้า่งเผื่อแผ่ให้เหล่าขุนนางขุนศึกคู่ใจของพระองค์ด้วย สุสานของหลี่ซื่อหมิน หรือ จักรพรรดิเกาจง นั้น จะอยู่ที่เฉียนหลิงหน่ะครับ  ซึ่งอยู่ที่อำเภอเฉียนเสี้ยน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเว่ยเฉิงไปอีกครับ

ด้านหมู่สุสา่นของจักรพรรดิราชวงศ์ฮั่นจะอยู่แถบตำบลเว่ยเฉิง อำเภอเสียนหยาง ซึ่งห่างจากเมืองซีอันไปทางเหนือไม่ไกลนัก (ราวๆในรัศมี 15-20 กิโลเมตร)



เครดิต พันทิป :D